ความสูง สร้างได้ ต้องทำยังไง

ดื่มนมทําให้เกิดสิวอ่าน ความสูง สร้างได้นั้น ต้องทำยังไง ฟังคำแนะนำจาก นายแพทย์วรต มโนสิทธิ์ศักดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิซึ่ม โรงพยาบาลสมิติเวช ในรายการ สโมสรสุขภาพ แนวโน้มของเด็กไทยนปัจจุบันสูงขึ้น เมื่อเทียบกับสมัยก่อน แต่ความสูงของเด็กไทยเมื่อเทียบเท่ากับต่างชาติแล้วยังด้อยกว่านิดหน่อย เพราะเด็กต่างชาติส่วนใหญ่จะดื่มนมเย่อะ และทานอาหารที่มีแคลเซี่ยมสูงกว่า ส่วนเด็กไทยส่วนใหญ่จะบริโภคแคลเซี่ยมไม่เพียงพอ ช่วงอายุกับเพศและการเจริญเติบโตเต็มที่ของเด็ก มีช่วงเวลาหรือปีทองของเค๊า โดยเฉลี่ยเด็กผู้หญิงช่วงอายุ 9-13ปีหรือก่อนมีประจำเดือน ส่วนผู้ชายจะอยู่ช่วง10-16ปี จะเป็นช่วงที่เด็กเจริญเติบได้เร็วที่สุด ช่วงปีทองของเด็กร่างกายต้องการแคลเซี่ยมสูงกว่าปรกติ เพราะฉะนั้นการได้รับแคลเซี่ยมให้เพียงพอในช่วงนี้จึงสำคัญต่อเด็กมาก เพิ่มความสูง การออกกำลังกายที่เหมาะสมจะช่วยให้กระดูกแข็งแรง และการผักผ่อนให้เพียงพอและถูกวิธีจะช่วยให้การเจริญเติบโตของเด็กได้ดี การนอนที่ถูกวิธีคือ นอนเร็วแล้วตื่นเช้าจะมีการพัฒนาได้ดีกว่า ไม่ควรให้เด็กนอนดึกแล้วตื่นสายเพราะจะเป็นผลเสียกับเด็ก เรื่องกรรมพันธุ์ก็มีส่วน ส่วนเด็กที่มีพ่อแม่ตัวเล็กทั้งคู่ แต่กับมีลูกที่ตัวสูงกว่านั้นเกิดจากปัจจัยของสิ่งแวดล้อม  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการออกกำลังกายหรือการเสริมแคลแซี่ยมที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เช่นการดื่มนม หรือทานอาหารที่มีแคลเซี่ยมสูงเป็นต้น ก็จะทำให้เด็กตัวสูงกว่าพ่อกับแม่ได้ แคลเซี่ยมไม่ได้เป็นตัวเร่งความสูงแต่ถ้าร่างกายขาดแคลเซี่ยมจะทำให้ความสูงสงักได้ เพราะฉะนั้นความสูงสร้างได้ถ้าเราดูแลลูกรักให้ถูกวิธี

2024-01-19T07:15:00+07:00December 14th, 2020|knowledge|

คำทำนายของพุทธทำนาย กับอนาคตประเทศไทย รัชกาลที่10

คำทำนาย ของพุทธทำนาย กับอนาคตประเทศไทยใน รัชกาลที่10 ทำนายว่า ชาววิไล มีความหมายว่า ประเทศไทยของเราได้ก้าวพ้นช่วงยุคเข็ญมาแล้ว และนับแต่นี้ต่อไปประเทศไทยของเรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความเจริญรุ่งเรือง ประเทศไทยจะได้พบกับความมั่งคั่งสมบูรณ์เหมือนนานาอารยะประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย เพราะความอุดมสมบูรณ์ของประเทศไทยรวมถึงขุมทรัพย์มหาศาลในผืนแผ่นดิน เมื่อใดที่มีผู้บริหารดีมีความจริงใจต่อบ้านเมือง ทรัพย์พยากรณ์ที่มีอยู่มากมายจะปรากฏขึ้น น้ำมันมากมายมหาศาลที่อยู่ใต้ผืนดินของประเทศไทย พอๆกับแม่น้ำสายหนึ่ง กว้างประมาณหนึ่งกิโลเมตรและยาวกว่าหลายร้อยกิโลเมตร ซึ่งกำลังไหลผ่านประเทศของเราลงสู่ทะเล เมื่อใดก็ตามที่ประเทศของเราได้ผู้บริหารประเทศที่ดี มีมือสะอาดซื่อสัจสุจริต เห็นแก่ประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ ด้วยขุมทรัพย์มหาศาลในเมืองไทย ก็จะทำให้เมืองไทยกลายเป็นเมืองแห่งมหาเศรษฐีมีชื่อเสียงระบือไปทั่วโลก และจะได้เป็นประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่งในเอเชีย คำชี้แจง เป็นคำทำนายของพระพุทธโฆษาจารย์ ซึ่งได้ทำนายไว้ตั้งแต่ก่อนกรุงศรีอยุธยาจะแตกและสูญเสียอิสรภาพให้กับประเทศพม่า หรือก่อนที่กรุงเทพยังไม่ปรากฏขึ้น ได้ทำนายไว้ว่า กรุงศรีอยุธยาจะต้องถูกข้าศึกตีแตก แต่จะสูญเสียอิสรภาพไม่นานนัก เพราะจะมีคนดีของกรุงศรีอยุธยามากู้ชาติ แต่เมื่อกู้ชาติได้แล้วจะต้องไปตั้งเมืองหลวงอยู่ที่ใหม่ และเหตุการณ์ต่างๆของกรุงศรีอยุธยา ก็ได้เป็นจริงตามคำทำนายทุกประการ และพระพุทธโฆษาจารย์ได้กล่าวยังได้ทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแก่ กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงแห่งใหม่ของประเทศไทยในวันข้างหน้า ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในแต่ละรัชกาลมีดังต่อไปนี้ รัชกาลที่ ๑. ทำนายว่า มหากาฬผ่านมหายักษ์ รัชกาลที่ ๒. ทำนายว่า รู้จักธรรม รัชกาลที่ ๓. ทำนายว่า จำต้องคิด รัชกาลที่ ๔. ทำนายว่า สนิทธรรม รัชกาลที่

2024-01-19T07:15:00+07:00December 12th, 2020|knowledge|

กินกาแฟอย่างไรให้มีประโยชน์

กินกาแฟอย่างไรให้มีประโยชน์ กาแฟมีประโยชน์ อะไรกับร่างกาย และ ดื่มกาแฟแล้วช่วยให้หายง่วงจริงหรือไม่ กาแฟมีโทษต่อร่างกายอย่างไรบ้างกินกาแฟอย่างไรให้มีประโยชน์ในกาแฟมีทั้งประโยนช์และโทษ หากรับประทานมากเกินไปก็จะให้โทษต่อร่างกาย เพราะฉะนั้นองศ์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา จึงได้กำหนดปริมาณค่าของคาเฟอีนที่ไม่มีโทษต่อร่างกายหากดื่มไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน หรือไม่ควรเกิน 3 แก้วนั้นเอง คาเฟอีนมีผลต่อร่างกายโดยตรง หากดื่ม 50-200 มิลลิกรัมจะช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัว และสดชื่นกำลังดีแต่หากดื่มในปริมาณ 200-500 หรือเรียกว่าขนาดกลาง อาจทำให้ร่างกายเกิดความเครียด ปวดหัว ใจสั่น กระวนกระวาย ไปจนถึงนอนไม่หลับได้ ยิ่งถ้าทานในปริมาณที่สูงขึ้นถึง 1000 มิลลิกรัมต่อวันขึ้นไป คาเฟอีนยิ่งจะกลายเป็นพิษให้โทษต่อร่างกายทันที จะทำให้ร่างกายเริ่มกระสับกระส่าย หัวใจเต้นเร็ว เคลื่อนใส้ เบื่ออาหาร และปัสสาวะบ่อยขึ้นกาแฟมีประโยชน์เพราะฉะนั้นถ้าอยากทานกาแฟให้เกิดประโยนช์ หรือแก้ง่วง แน่ะนำให้ทานกาแฟครั้งละน้อยๆเพื่อกระจายการดื่มออกไปในแต่ละครั้ง หรือแก้วเล็กๆ แต่สามารถทานได้เรื่อยๆ ค่อยๆจิบไปทีละนิดเพราะกาแฟจะเริ่มออกฤทธิ์หลังจากดื่มไปแล้ว 15 นาที และการดื่มแบบนี้ก็จะช่วยให้ร่างกายของเราตื่นตัวได้ยาวนานกว่าการดื่มทีเดียวครั้งล่ะมากๆ แต่ข้อสำคัญให้ปริมาณของคาเฟอีนรวมกันแล้วไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวันจะดีที่สุด และผลเสียอีกอย่างสำหรับคอกาแฟที่ชอบทานกาแฟตอนท้องว่างคาเฟอีนในกาแฟจะเร่งหลั่งกรดในกระเพราะออกมา ซึ่งจะทำให้กระเพราะของเราระคายเคืองอยู่บ่อยๆจนกลายเป็นโรคกระเพราะได้ในที่สุด เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรทานกาแฟตอนท้องว่างกันนะค่ะ อย่างน้อยๆก็ควรจะมีขนมทานควบคู่กับกาแฟไปด้วยจะดีกว่า หรือค่อยๆจิบ หลังทานอาหารหลักจะดีที่สุด และที่สำคัญอีกอย่างการดื่มกาแฟในปริมาณมากๆเพื่อหวังจะกระตุ้นให้ได้งานเย่อะๆ จนอดหลับอดนอน ยิ่งทำให้ร่างกายต่อต้าน

2024-01-19T07:15:00+07:00December 12th, 2020|knowledge|

การดื่มนม อยากถูกวิธี เราควรกินนม อย่างไรให้ได้ประโยชน์มากที่สุด

การดื่มนม อยากถูกวิธี เราควรกินนม อย่างไรให้ได้ประโยชน์มากที่สุด และ สิ่งที่ไม่ควรทำตอนกินนม ไม่ว่าจะเป็น กินนมพร้อมกับ ยา และ อื่นๆ การกินนมให้ถูกวิธี ข้อ.1 ไม่ควรเติมน้ำตาลใส่นมมากเกิน 8 กรัม ต่อนม 100 มิลลิลิตร และไม่ควรใส่น้ำตาลในขณะที่นมกำลังร้อนจัด เพราะจะทำให้เกิดสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ที่เหมาะสมที่สุดควรจะใส่น้ำตาลในขณะที่นมเริ่มเย็นลง หรืออุ่นๆ และน้ำตาลที่ใช้ควรจะเป็นน้ำตาลทรายแดง หรือน้ำตาลอ้อยเพราะร่างกายจะดูดซึมได้ง่ายกว่าน้ำตาลชนิดอื่นๆ ข้อ.2 ไม่ควรทานยาพร้อมกับนม เพราะนมจะเข้าไปเคลือบกระเพาะ และทำให้ฤทธิของยาดูดซึมเข้าสู่ร่างกายไม่ได้ เมื่อดูดซึมเข้าไปไม่ได้ก็ไม่เกิดประโยนช์อะไรเลย ทางที่ดีควรทานยาก่อนหรือหลังดื่มนม 1-2 ชั่วโมงจะดีที่สุด ข้อ.3 การต้มนมจนเดือดถึง 100 องศา จะทำให้สารอาหารที่มีประโยนช์และน้ำตาลในนมเกิดการไหม้เกรียมได้ เมื่อมีการไหม้เกรียมจะทำให้เกิดสารก่อมะเร็งขึ้นมาแทนที่ อีกทั้งแคลเซี่ยมที่อยู่ในนมก็จะจับตัวเป็นตะกอน ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ยากยิ่งขึ้น ที่สำคัญอีกอย่าง ห้ามใส่น้ำมะนาวลงในนมโดยเด็ดขาด เพราะกรดจากน้ำมะนาวจะทำลายโปรตีนในนมจนหมด ข้อ.4 ห้ามใช้นมเปรี้ยวเลี้ยงเด็กทารก เพราะในนมเปรี้ยวมีจุลินทรีย์ที่อาจจะทำให้ทารกท้องเสียได้ ข้อ.5 นมข้น ห้ามใช้นมข้นเลี้ยงเด็กทารก เพราะในนมข้นไม่มีคุณสมบัติและสารอาหารที่เกิดประโยนช์ต่อร่างกายทารกเลยแม้แต่น้อย และในนมข้นยังมี ไขมัน น้ำตาล และโซเดียมเป็นหลัก

2024-01-19T07:15:00+07:00December 12th, 2020|knowledge|

ความเชื่อ เรื่อง ไม่รับประทานอาหารในงานศพ

เคยสงสัยกันไหม? เวลาที่เราไปงานศพมักจะมีบางคนที่ไม่รับประทานอาหารในงาน หรืออาจจะมีคนเคยพูดว่า ห้ามรับประทานอาหารในงานศพ วันนี้เรามาไขข้อสงสัยกันว่าเป็นเพราะอะไรทำไมถึงรับประทานอาหารในงานศพไม่ได้ ขอเกริ่นก่อนเลยแล้วกันนะคะ เวลาที่เราไปงานศพ พอพระสวดพระอภิธรรมเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าภาพจะนำอาหารและน้ำดื่มออกมาเลี้ยงบรรดาแขกที่มาร่วมงาน อาทิเช่น ขนมจีบซาลาเปา ข้าวต้มทรงเครื่อง ก๋วยจั๊บ กระเพราะปลาเป็นต้น เพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจเล็กๆน้อยๆของเจ้าภาพให้แก่บรรดาแขกนั่นเอง ในสมัยก่อนนั้น เคยมีชินแสได้พูดเตือนไว้ว่า บุคคลใดที่ดวงชะตาไม่ดี หรือดวงตก ห้ามกินอาหารหรือดื่มน้ำในงานศพเป็นเด็ดขาด สิ่งอัปมงคลต่างๆจะเข้ามาทำร้ายเรา เพราะเราดวงตกนั่นเอง วิธีป้องกันเวลาดวงตกหากหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องไปงานศพ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารและเครื่องดื่มในงานศพโดยเด็ดขาด ปล.เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณ

2024-01-19T07:15:00+07:00December 12th, 2020|knowledge|

การดื่มนมตามเวลาที่เหมาะสม

การดื่มนมตามเวลาที่เหมาะสม กินนมเวลาให้ได้ประโยชน์มากที่สุด และ สิ่งที่ไม่ควรทำตอนกินนม ไม่ว่าจะเป็น กินนมพร้อมกับ ยา และ อื่นๆ การดื่มนมตามเวลาที่เหมาะสม การดื่มนมอยู่เป็นประจำเป็นเรื่องที่ดีต่อสุขภาพอย่างแน่นอน แต่จะดื่มนมอย่างไรให้ร่างกายได้ประโยนช์จากนมมากที่สุด ข้อ.1 ควรแบ่งเวลาในการดื่มนมเพื่อให้ได้ประโยนช์สูงสุด ช่วงเช้าระหว่างเวลา ตี 5-7โมงเช้า เป็นช่วงที่ลำไส้ใหญ่เริ่มทำงาน การดื่มนมเปรี้ยวในช่วงเวลานี้จึงเหมาะสมที่สุด เพราะจุลินทรีย์ในนมเปรี้ยวจะไปช่วยกระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ข้อ.2 ช่วงเวลา 7-9โมงเช้า เป็นเวลาที่กระเพาะอาหารเริ่มทำงาน และร่างกายเริ่มต้องการพลังงานเพื่อนำไปใช้ในกิจวัตรประจำวัน ช่วงเวลานี้ควรดื่มนมพาสเจอร์ไรส์ หรือนมรสมอลต์จะดีที่สุด ข้อ.3 ช่วงเวลา 9 โมงถึงเที่ยง เป็นช่วงเวลาที่สมองเริ่มต้องการๆกระตุ้นอย่างเต็มที่ การดื่ม โยเกิร์ตไขมันต่ำ จะช่วยกระตุ้นสมองได้ดีที่สุด ข้อ.4 ช่วงเวลา เที่ยงจนถึงบ่าย 3 โมง เป็นช่วงเวลาการทำงานของระบบย่อยอาหาร ของกระเพาะกับลำไส้เล็ก กระเพาะจะเริ่มหลั่งกรดออกมาในเวลานี้ การดื่มนมเปรี้ยวในช่วงเวลานี้จะไปช่วยให้ลำไส้เล็กย่อยและดูดซึมอาหารได้ดียิ่งขึ้น ที่สำคัญควรดื่มหลังอาหารนะค่ะ ข้อ.5 ช่วงเวลา บ่าย 3 ถึง 5 โมงเย็น เป็นช่วงเวลาการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ ควรเลือกดื่มนมเปรี้ยวอีกครั้ง เพื่อไปช่วยกระตุ้นให้กระเพาะปัสสาวะขับของเสียออกจากร่างกายได้ดียิ่งขึ้น

2024-01-19T07:15:00+07:00December 12th, 2020|knowledge|

เรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับ วิทยาศาสตร์ของ กีต้าร์

เรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับ วิทยาศาสตร์ของ กีตาร์ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบในเสียงตนตรีจะต้องรู้จักกับเครื่องดนตรีชนิดนี้แน่นอน คือ กีต้าร์ ซึ่งกีต้าร์เป็นเครื่องดนตรีสากลประเภทเครื่องสายที่ได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลาย ส่วนประกอบและหลักการเกิดเสียงของกีต้าร์ กีต้าร์นั้นจะมี 6 สาย และจะมีส่วนประกอบหลักๆ ด้วยกัน 3 ส่วนด้วยกัน คือ ส่วนหัวนั้นเป็นส่วนที่มีชุดลูกบิดติดอยู่เพื่อใช้ในการปรับเสียงของกีต้าร์ ต่อมาคือส่วนคอหรือแป้นวางนิ้วใช้ในการจับคอร์ดเพื่อเล่นโน๊ตต่างๆ และสุดท้ายก็คือส่วนของลำตัว ได้แก่ ด้านหน้า ด้านหลังและด้านข้าง ซึ่งจะมีส่วนประกอบสำคัญก็คือ โพรงเสียงเสียงและสะพานสาย กีต้าร์มีหลักการเกิดเสียงง่ายๆ โดยจะนำสายลวดนั้นมาดึงให้ตึงแล้วก็ใช้นิ้วมือดีดทำให้เกิดเสียง หลักการการเกิดเสียงของกีต้าร์นั้นเกิดเสียงขึ้นจากการสั่นพ้อง หรือที่เรียกว่า เรโซแนนซ์ (resonance) โดยสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เมื่อทำการดีดสายกีต้าร์จะสังเกตุเห็นได้ว่าสายของกีต้าร์นั้นจะเกิดการสั่นสะเทือน การสั่นสะเทือนของสายลวดและแผ่นไม้ของกีต้าร์นั้นทำให้เกิดการปะทะกับโมเลกุลของอากาศทำให้เกิดการเคลื่อนที่เข้าหากันหรือแยกออกจากกัน ส่งผลให้คลื่นโมเลกุลของอากาศที่เกิดการอัดตัวเป็นลำดับอย่างต่อเนื่องนี้เอง จึงเกิดเป็นคลื่นเสียง และคลื่นที่อัดตัวอยู่ภายในตัวของกีต้าร์ส่วนใหญ่นั้นก็จะทำให้เสียงนั้นเล็ดรอดออกมาจากทางรูตรงกลางของตัวกีต้าร์และเคลื่อนที่ไปยังหูของเรา จากนั้นมันก็จะถูกส่งต่อไปยังเส้นประสาทเพื่อนำไปแปลความหมายที่สมอง จากนั้นก็จะกลายเป็นเสียงเพลงที่ทุกคนได้ยินกันนั้นเอง เสียงสูงเสียงต่ำของกีต้าร์เกิดขึ้นได้อย่างไร ? การเกิดเสียงของกีต้าร์นั้นจะมีทั้งเสียสูงและเสียงต่ำโดยปัจจัยที่ทำให้เกิดเสียงสูงและเสียงต่ำนี้ก็คือ ความตึงของสายกีต้าร์ ซึ่งความตึงของสายกีต้ร์านี้เองทำให้เกิดเสียงที่แตกต่างกัน โดยสายกีต้าร์ที่ตึงกว่าจะส่งผลให้มีระดับเสียงที่สูงกว่าสายกีต้าร์ที่หย่อนกว่า และเสียงของกีต้าร์จะมีเสียงที่ดี และมีหลายปัจจัยที่แตกต่างกันออกไป ทั้งในส่วนของเนื้อไม้ที่นำมาใช้ในการทำตัวกีต้าร์ การขึ้นโครงของตัวกีต้าร์ ระยะความยาวของคอกีต้าร์ สิ่งเหล่านี้ก็ค่อนข้างมีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณภาพของเสียงของกีต้าร์ทั้งนั้น

2024-01-19T07:15:00+07:00December 12th, 2020|knowledge|

เกิดอะไรขึ้น เมื่อเรากินมากเกินไป ?

ไม่ว่าใครก็ตามเมื่อเจออาหารที่มีรสชาติอร่อยถูกปากแล้ว เชื่อเถอะว่าเป็นใครก็ต้องอยากรับประทานเยอะๆ กันทั้งนั้น แต่ดูเหมือนว่ากระเพาะอาหารของเราไม่สามารถรับเอาอาหารเล่านี้ไว้ในกระเพาะจนหมดทุกอย่างได้ ซึ่งหากรับประทานอาหารมากเกินไปก็จะทำให้กระเพาะอาหารนั้นทำงานหนักมากเกินไปทำให้เกิดอาการอึดอัด จุก แน่น และส่งผลทำให้เราหายใจลำบากขึ้นด้วย แล้วจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเรากินมากเกินไป? ทำความรู้จักกับกระเพาะอาหารกันเถอะ กระเพาะอาหารของคนเรานั้นหากไม่มีอาหารจะมีขนาดเพียง 0.05 ลิตรดูเหมือนจะมีขนาดเล็กแต่ว่าผนังของกระเพาะอาหารมีกล้ามเนื้อที่หนาและแข็งแรงมากจึงทำให้ผนังกระเพาะมีการยืดหยุ่นและมีการขยายได้มากถึง 50 เท่าของขนาดเดิม และเมื่อรับประอาหารเข้าไปในปริมาณที่มากก็จะทำให้กระเพาะนั้นขยายตัวใหญ่ขึ้นและทำให้เกิดการเบียดกับอวัยวะข้างเคียงอื่นๆ ทำให้ท้องของคนเรานั้นใหญ่ขึ้นไม่เพียงเท่านั้นขณะที่เคี้ยวหรือกลืนอาหาร อากาศก็จะไหลผ่านเข้าไปด้วยนอกจากนี้ท้องและลำไส้ของคนเราก็ยังได้รับแก๊สจากสิ่งที่รับประทานเข้าไปอีกด้วย โดยเฉพาะเครื่องดื่มอย่าง น้ำอัดลม โซดา หรือเบียร์ ซึ่งแก๊สที่มาจากเครื่อดื่มเหล่านี้มันกินพื้นที่ในกระเพาะอาหารเป็นปริมาณมากกว่าการรับประทานอาหารทั่วไปเสียอีก นอกจากนี้ในกระบวนการย่อยอาหาร กระเพาะของเราก็จะผลิตกรดชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า กรดไฮโดรคลอริก ออกมา หากรับประทานอาหารมากๆ ก็จะส่งผลทำให้กระเพาะของเราผลิตกรดไฮโดรคลอริกออกมามากเช่นเดียวกันและสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาภายหลังนั้นก็คืออาการกรดไหลย้อนขึ้นมาทางหลอดอาหาร ทำให้เรารู้สึกจุก แน่น แสบร้อนกลางแก และอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกอิ่มนั้นก็เกิดจากฮอร์โมนอิ่มที่มีชื่อว่า เรคติน เมื่อรับประทานอาหารอิ่มแล้วฮอร์โมนเรคตินจะสงสัญญาณไปยังสมองในส่วนที่มีชื่อว่า ไฮโปทาลามัส เพื่อสั่งให้ร่างกายนั้นหยุดกินนั้นเอง ฉะนั้นการรับประทานอาหารมากจนเกินไปนั้นไม่เป็นผลดีต่อร่างกายของเราเลยแม้แต่น้อย

2024-01-19T07:15:00+07:00December 12th, 2020|knowledge|

เลื่อนนาฬิกาปลุกในตอนเช้า ไม่ดีต่อสุขภาพ

เลื่อนนาฬิกาปลุกในตอนเช้า ไม่ดีต่อสุขภาพ เชื่อว่าในปัจจุบันหลายคนต้องตั้งนาฬิปลุก เพื่อตื่นไปเรียน ไปทำงานหรือทำกิจวัตรประจำต่างๆเชื่อว่าในปัจจุบันหลายคนต้องตั้งนาฬิกาปลุก เพื่อตื่นไปเรียน ไปทำงานหรือทำกิจวัตรประจำต่างๆ ก็ตามแต่ และเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุกเพียงแค่ครั้งเดียว แต่มักจะเลือกตั้งปลุกย้ำๆ หลายรอบโดยมีระยะเวลาห่างกัน 15 นาทีบ้าง 20 นาทีบ้างที่เรียกว่า การปลุกแบบระบบ snooze ซึ่งก็คือ ระบบการปลุกให้ตื่นเป็นระยะๆ แต่หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าการปลุกเช่นนี้ ส่งผลเสียต่อร่างกายและการทำงานของฮอร์โมนในร่างกายของเรามากเลยทีเดียวsnooze คืออะไร ?การปลุกแบบระบบ snooze ซึ่งก็คือ ระบบการปลุกให้ตื่นเป็นระยะๆ โดยมีระยะเวลาห่างกันแล้วแต่จะเราจะตั้ง เพื่อที่จะได้ไม่เผลอหลับยาวจนลืมตื่น ส่วนใกญ่คนที่ใช้ระบบการปลุกแบบนี้มักจะคิดว่า ปลุกเพื่อให้ร่างกายตื่นและขอนอนอีกนิดเพื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งจะได้สดชื่น แต่ในความเป็นจริงแล้วมันกลับส่งผลเสียต่อร่างกายแทนเลื่อนนาฬิกาปลุกในตอนเช้าไม่ดีต่อสุขภาพอย่างไร ?โดยปกติแล้วระบบการทำงานภายในร่างกายของเรานั้นมีเวลาการทำงานของตัวมันเองอยู่แล้ว ซึ่งตัวที่ควบคุมการทำงานในร่างกายของเรานั้นก็คือ ฮอร์โมนต่างๆ อย่างเช่น ในช่วงเวลากลางคืน ร่างกายของเราจะหลั่งสารเมลาโทนิน (Melatonin) ออกมา และก่อนที่เราจะตื่นขึ้นมา ระบบร่างกายของเราก็จะเตรียมพร้อมก่อนที่เราจะตื่น 1 ชั่วโมง โดยที่ร่างกายของเรานั้นจะค่อยๆ ปรับฮอร์โมนให้สูงขึ้นและเริ่มหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมา ซะนั้นการที่เราตั้งนาฬิการปลุกแบบ Snooze นั้นจึงถือว่าเป็นการรบกวนวงจรการนอนหลับของเราเป็นอย่างมากเนื่องจากการที่เราตื่นขึ้นมาแล้วกลับไปนอนต่อนั้น เป็นเหมือนการทำให้ร่างกายของเรากลับเข้าสู่กระบวนการนอนอีกครั้ง ดังนั้นในการที่เราหลับๆ ตื่นๆ ก็จะส่งผลให้การเตรียมร่างกายในการที่จะตื่นแบบปกตินั้นก็จะไม่เกิดขึ้น และเป็นเพราะสาเหตุนี้เองที่จะส่งผลเสียต่อร่างกายของเรา ทำให้เรารู้สึกเหนื่อย ไม่สดชื่น

2024-01-19T07:15:00+07:00December 12th, 2020|knowledge|

ควรงีบหลับกี่นาทีถึงจะดีที่สุด

ควรงีบหลับกี่นาทีถึงจะดีที่สุดควรงีบหลับกี่นาทีถึงจะดีที่สุด หลายคนอาจจะเคยรู้สึกง่วงนอนในช่วงเวลากลางวัน และหลายคนก็พยายามต่อสู้กับความง่วงหลายคนอาจจะเคยรู้สึกง่วงนอนในช่วงเวลากลางวัน และหลายคนก็พยายามต่อสู้กับความง่วง พยายามปลุกตัวเองให้ตื่นด้วยวิธีต่างๆ เช่น การดื่มกาแฟ การดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง ล้างหน้าล้างตา เป็นต้น แต่รู้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้วการงีบหลับนั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะช่วยให้เรารู้สึกสดชื่นได้ และหากจะให้ได้ผลเต็มที่การงีบหลับจะต้องอยู่ในระยะเวลาที่เหมาะสมนั้นเองวงจรการนอนหลับแบ่งออกเป็น 4 ระยะระยะที่หนึ่งเป็นระยะที่เปลี่ยนจากการตื่นไปสู่การนอน ในระยะนี้หาถูกปลุกให้ตื่นจะทำให้รู้สึกว่ายังไม่ได้นอน2. ระยะที่สองเป็นเหมือนระยะของการนอนหลับอย่างแท้จริง หรือเป็นช่วงหลับตื้นๆ ที่ยังไม่มีการฝัน จึงทำให้การหลับในระยะนี้สามารถถูกปลุกให้ตื่นได้โดยง่าย3. ระยะที่สามเป็นช่วงที่หลับลึกลงไป และเป็นระยะที่เริ่มจะปลุกให้ตื่นค่อนข้างยากขึ้น หากถูกปลุกจะทำให้รู้สึกงัวเงีย4. ระยะที่สี่จะเป็นช่วงที่หลับลึกที่สุดและระยะนี้เป็นระยะที่ปลุกยากที่สุด ซึ่งในระยะนี้เองจะเป็นช่วงที่มีการฝันเกิดขึ้นควรงีบหลับกี่นาทีถึงจะดีที่สุด?1.การงีบ 10-20 นาที จะทำให้ร่างกายตื่นตัวและเพิ่มพลังให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นได้ดีในช่วงเวลานี้จะสามารถปลุกให้ตื่นได้ง่าย2.การงีบ 30 นาที แต่ว่าในการงีบหลับนาน 30 นาที หากทำให้ตื่นขึ้นมามักจะมีอาการเหมือนการแฮงค์โอเวอร์ ซึ่งทำให้ร่างกายรู้สึกเฉือยๆ ไม่ประปรี้ประเปร่า3.การงีบ 60 นาที ช่วงนี้การนอนจะมีผลต่อการส่งคลื่นสั้นๆต่อสมองอยู่ในระยะหลับลึก มีผลต่ความจำทำให้จดจำข้อมูลต่างๆ ได้ดีขึ้น แต่การตื่นของช่วงเวลานี้จะรู้สึกงีวเงียและตื่นยากกว่าปกติ4.การงีบ 90 นาทีหรือการครบวงจรการหลับ ช่วงนี้เป็นการหลับที่สมบูรณ์ สมองจะได้พักเต็มที่ ช่วยในเรื่องของความจำ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และยังทำให้ร่างายนั้นสดชื่นประปรี้ประเปร่าอีกด้วย

2024-01-19T07:15:00+07:00December 12th, 2020|knowledge|
Go to Top