ความลับของสมองมนุษย์

ความลับของสมองมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์ นักชีววิทยา คุณหมอด้านจิตเวศและหมอสมองในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ศึกษาวิจัยมาหลายปี เพื่อพยายามค้นหาสาเหตุความแตกต่างของมนุษย์แต่ละคน ว่าทำไมบางคนล้มเหลวซ้ำๆ แต่บางคนกับประสพความสำเร็จซ้ำๆ นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่า ในสมองของมนุษย์มีสิ่งหนึ่งที่ทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า "นิวรอน"มีลักษณะโครงข่ายเหมือนใยแมงมุมมีแขน ขา เหมือนรากต้นไม้ ส่วนแขนเรียกว่า "แอพซอน" นิวรอนอยู่ในสมองของมนุษย์เป็นล้านๆเซล มีแขนขายืดออกมาเหมือนใยแมงมุมอยู่เป็นมหาศาล ส่วนแขนขาที่ยืดออกมา มันเชื่อมต่อกันด้วยประจุไฟฟ้า เมื่อมนุษย์เครียด มีความกังวลหรือคิดด้านลบมากๆ มันจะส่งกระแสไฟฟ้าเชื่อมต่อกันเป็นล้านๆเซลส่งกันไปมาในสมองของมนุษย์ในด้านลบ ความลับของสมองมนุษย์2 ถ้าคิดเรื่องไม่ดีจนเครียดซ้ำๆนานๆหลายวันจะทำให้นิวรอนใหญ่ขึ้นจับกันเป็นโครงข่ายและแข็งแรง เมื่อมันแข็งแรงขึ้นจะทำให้คนๆนั้นจะมีลักษณะ เครียดง่าย เศร้าง่ายคิดอะไรก็ไม่ประสพความสำเร็จเพราะสมองจะส่งแต่เรื่องลบๆออกมา กระบวนการส่งถ่ายข้อมูลในสมองรับรู้แต่เรื่องไม่สำเร็จ เรื่องไม่ดี จึงเป็นที่มาว่าทำไมบางคนถึงทำอะไรแล้วล้มเหลวซ้ำๆ เพราะการสร้างโครงข่ายของนิวรอนมันเชื่อมต่อเรื่องลบๆหมดเลย เมื่อกระแสประสาทมันส่งผลแบบนี้ ปัญหาตรงนี้จึงเป็นตัวกำหนดอนาคตมนุษย์ แต่นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบขบวนการทางเดินของนิวรอนในสมองใหม่ จากเดิมที่คิดลบให้ปรับและคิดใหม่ มีวิชาอยู่2วิชาที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า "เอ็นแอลพี" เอ็นแอลพีในสหรัฐอเมริกาเป็นสถาบัน กระบวนการกลไกรเค๊าจะเข้าไปปรับฉากต่างๆในสมอง และทำทางนิวรอนในสมองใหม่ ทันทีที่คนๆนั้นคิดบวก ปรับทัศนคติใหม่ตั้งความคาดหวังใหม่ ทำทุกๆวันประมาณ1สัปดาห์ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า นิวรอนในสมองเริ่มแตกรากแขนงใหม่เป็นแขนงบวก พอคิดบวกเซลบวกจะจับกันเป็นล้านๆเซล เป็นกลุ่มเดียวกัน ส่วนแขนงด้านลบก็จะค่อยๆหายหรือตายไป คนๆนั้นก็จะเป็นคนที่มีความสุขมองอะไรเป็นบวก การคิดบวกสร้างเซลในสมองใหม่จับขั้วใหม่เปลี่ยนทางเดินมนุษย์ใหม่

2024-01-19T07:15:00+07:00December 14th, 2020|knowledge|

วิตามินซี ดูแลคุณตลอดวัน

วิตามินซี ดูแลคุณตลอดวัน "วิตามินซี" เป็นวิตมินที่ละลายน้ำร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ แต่มีความจำเป็นต่อร่างกาย จึงจำเป็นต้องได้รับจากการบริโภคอาหาร วิตมินซีมีประโยนช์มากมายต่อสุขภาพที่สำคัญคือ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ลดอาการภูมิแพ้และต้านเชื้อโรคต่างๆต้านอนุมูลอิสระและชลอการเสื่อมของเซล ช่วยสร้างคลอลาเจนให้ผิวลดริ้วรอยและทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น ทราบกันดีว่าที่เราจะบริโภควิตามินซีให้ได้ 500มิลลิกรัมตามความต้องการของร่างกายใน1วัน การบริโภควิตามินซีให้ได้ 500มิลลิกรัมนั้น เท่ากับเราต้องทานส้มที่มีคุณภาพให้ได้วันละ7ผล ดังนั้น จึงเกิดการคิดค้นและพัฒนาวิตามินซีให้อยู่ในรูปของเม็ดยาเพื่อง่ายต่อการบริโภค ซึ้งปัจจุบันผลิตพันธ์วิตามินซีมีอยู่2ชนิดคือ ชนิดออกฤทธิ์สั้นและชนิดออกฤทธิ์นาน วิตามินชนิดออกฤทธิ์สั้นสารสำคัญจะถูกปล่อยในปริมาณสูงทันทีและคงอยู่ในร่างกายเพียง2ชั่วโมง ขณะที่วิตามินชนิดออกฤทธิ์นาน สารสำคัญจะถูกปล่อยออกมาช้าๆและคงที่นานถึง8ชั่วโมง ชนิดออกฤทธิ์สั้นร่างกายจะขับออกทางปัสสาวะ25% นั้นคือร่างกายจะนำไปใช้ได้เพียง25%เท่านั้น ส่วนชนิดออกฤทธิ์นาน ร่างกายจะดูดซึมและนำไปใช้ได้ถึง73%โดยขับออกทางปัสสาวะเพียงเล็กน้อย จึงช่วยลดการสูญเสียวิตามิน อีกทั้งยังปลอดภัยเนื่องจากการรับวิตามินในปริมาณคงที่อย่างช้าๆ ช่วยทำให้ไม่ระคายเคืองกระเพาะอาหารอีกด้วย ข้อเสียสำหรับคนที่ขาดวิตามินซี จะทำให้ร่างกายไม่สดชื่นเหนื่อยง่าย อ่อนเพลียเรื้อรัง ปวดตามจุดต่างๆของร่างกาย มีเลือดออกในช่องปากหรือตามไรฟัน และทำให้ร่างกายขาดภูมิต้านทานต่อโรคต่างๆพร้อมปัญหาสุขภาพหลายอย่างตามมา เพราะฉะนั้นเราควรทานวิตามินให้เหมาะสมตามความต้องการของแต่ละคนให้เพียงพอในแต่ละวันเพื่อสุขภาพที่ดีของเรา ขอบคุณข้อมูล จากแอมเวย์

2024-01-19T07:15:00+07:00December 14th, 2020|knowledge|

รักษาสมดุลแคลเซียม ด้วย วิตามินดี Vitamin D

อ่านวิธีรักษาสมดุลแคลเซียม ด้วย วิตามินดี Vitamin D โดย อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ/ ที่ปรึกษากรมอนามัย ลองอ่านกันดูนะครับเพื่อสุขภาพที่ดี จากการสำรวจของกรมอนามัย คนไทยได้รับแคลเซียมต่อวันต่ำกว่าเกณท์ที่จะได้รับ แหล่งที่มาของแคลเซียมมีอยู่ในนม ผักและปลา สาเหตุที่ขาดแคลเซียมอาจจะเป็นเพราะเราทานอาหารพวกนี้น้อยเกินไปเลยได้รับไม่เพียงพอ นมเจำเป็นอย่างยิ่งต่อชีวิตมนุษย์เพราะเป็นอาหารที่มีแคลเชี่ยมที่ดีที่สุดและยังมีโปรตีนที่มีคุณภาพด้วย ถ้าเราไม่ดื่มนมแล้วเราจะเอาแคลเชี่ยมมาจากใหน ถ้าจะให้ได้แคลเชี่ยมจากผักและปลาเราก็ต้องทานทีละเย่อะๆมากๆถึงจะเพียงพอต่อความต้องการแคลเซียมของร่างกายในแต่ละวัน นม1กล่อง225-250มล.มีแคลเชี่ยมประมาณ250-300มล.และมีแคลเชี่ยมเท่ากับ1ใน3ของความต้องการในแต่ละวัน แต่กลไกการดูดซึมของร่างกาย ถ้าเราทานแคลเซี่ยมเกินความต้องการในแต่ละวัน ร่างกายก็จะไม่รับและขับออกมาเองโดยไม่เกิดประโยนช์อะไร เราควรทานแคลเซี่ยมทีละเล็กทีละน้อยเป็นระยะๆในแต่ละมื้อจะทำใหร่างกายดูดซึมได้ดีกว่า วิตมินต่างๆที่อยู่ในนมเช่นวิตามินD โปรตีน ฟอสฟอรัส จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซี่ยมได้ดีมาก และการออกกำลังกายจะช่วยให้แคลเซี่ยมดูดซึมเข้าเนื้อกระดูกได้ดีขึ้น   แคลเซี่ยมมีความสำคัญต่อโครงสร้างร่างกาย และแคลเซี่ยมไม่ได้มีบทบาทแค่กระดูกกับฟันเท่านั้น แคลเซี่ยมยังมีบทบาทสำคัญทำให้กล้ามเนื้อแข้งแรง และทำให้กลไกเลือดที่ไหลออกมาแข็งตัวได้ดีขึ้นด้วย เพราะฉะนั้นแคลเซียมจึงมีประโยนช์มหาศาลและมีความจำเป็นต่อร่างกายของมนุษย์เป็นอย่างมาก โดยเฉพราะผู้หญิงในวัยทองหรือผู้หญิงที่หมดประจำเดือนที่มีอายุตั้งแต่45ปีขึ้นไป จะมีความต้องการแคลเซี่ยมเป็นอย่างมาก เพราะการสร้างแคลเซี่ยมเข้าไปในเนื้อกระดูกของคนวัยนี้จะสร้างน้อยลง และที่สำคัญที่สุดมีการทำลายอีกด้วย   เพราะฉะนั้นโรคกระดูกพรุนจึงเกิดขึ้นกับผู้หญิงวัยนี้ สาเหตุเพราะไม่ได้สะสมแคลเซี่ยมไว้ตั้งแต่วัยเด็ก จะมาสะสมตอนอายุมากขึ้นไม่ได้แล้ว แต่ถึงยังไงร่างกายก็ยังต้องการแคลเซี่ยมเพื่อไม่ให้แคลเซี่ยมสลายตัวเร็วขึ้น และยังควรกินแคลเซี่ยมในรูปแบบนมและอาหารให้เพียงพอ ไม่ควรกินแคลเซี่ยมเสริมในรูปแบบเม็ดหรือวิตมินถ้าจะกินต้องกินตามแพษย์สั่งเท่านั้น ยังมีสารที่ไปช่วยสะกัดการดูดซึมแคลเซี่ยมอีกคือ การกินเนื้อสัตว์มากเกินไป กาแฟ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้การดูดซึมแคลเซี่ยมเข้าสู่ร่างกายได้ไม่ดี กินผักสดมากเกินไปจะมีสารชนิดที่ไปป้องกันไม่ให้แคลเซี่ยมดูดซึมเข้าร่างกายเช่นกัน เพราะฉะนั้นเราครวกินอาหาร แคลเซี่ยมและวิตมินต่างแต่พอดีเท่าที่ร่างกายเราต้องการในแต่ระวันเพื่อสุขภาพที่ดีตลอดไป

2024-01-19T07:15:00+07:00December 14th, 2020|knowledge|

ลดน้ำหนักถูกวิธี ไม่แก่ ไม่โยโย่

อ่าน ลดน้ำหนักถูกวิธี ไม่แก่ ไม่โยโย่ และให้ควาสำคัญกับตัวเลขที่ตราชั่งอย่างเดียวโดยไม่ดูรวมๆว่ามีผลเสียต่อร่างกายอย่างไรบ้าง ได้ในเว็บไซต์คิดถึงดอทคอม อ่านเลยคลิกที่นี่ การลดน้ำหนักที่ไม่ถูกต้อง และให้ควาสำคัญกับตัวเลขที่ตราชั่งอย่างเดียวโดยไม่ดูรวมๆว่ามีผลเสียต่อร่างกายอย่างไรบ้างและมีผลเสียกับสุขภาพระยะยาวรึเปล่า เพราะบนตราชั่งจะเป็นน้ำหนักที่เรารวมทั้งร่างกายที่มีทั้งกล้ามเนื้อ กระดูก เลือด ฉี่และไขมัน อยู่ด้วย ส่วนใหญ่ของคนปรกติที่ต้องการลดน้ำหนักก็จะทำคล้ายๆกันคือไม่ทานข้าวเย็น ทานอาหารเช้าน้อยหน่อย อาหารกลางอีกวันเล็กน้อย และออกกำลังกายเย่อะๆซึ่งจะทำให้น้ำหนักลดได้พอสมควร ประมาณ5-10กิโลกรัม แต่ในน้ำหนักที่ลดไปคือสารอาหารที่เราขาดตามไปด้วย ในนั้นอาจจะเป็นกล้ามเนื้อ ส่วนหนึ่ง กระดูก ฉี่หรืออึ แต่มีไขมันหายไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่มันทำให้เราสูญเสียส่วนดีๆในร่างกายของเราออกไปด้วย และจะทำให้เราดูแก่ลง การลดน้ำหนักที่ถูกต้องคือลดส่วนที่เป็นของเสียของร่างกายออกไปหรือกำจัดไขมันออกไปนั้นเอง ทานอาหารเช้าและเที่ยงตามปรกติส่วนอาหารเย็นให้งดแป้งโดยเด็ดขาด ให้ทานอาหารที่มีโปรตีนแทนเช่นสเต็กและผักเป็นต้น ห้ามอดอาหารและ เพิ่มการออกกำลังกายให้ได้วันละ3ครั้ง ครั้งละ20นาทีต่อวัน แค่นี้ก็จะช่วยลดไขมันส่วนเกินในแต่ละวันได้เย่อะเลยทีเดียว

2024-01-19T07:15:00+07:00December 14th, 2020|knowledge|

หมาควรกินอาหารของมนุษย์หรือไม่

ดู Did You Know ? คุณรู้หรือไม่ หมาควรกินอาหารของมนุษย์หรือไม่ ? ในอดีตสุนัขเป็นสัตว์ที่มี DNA แยกออกมาจากสุนัขป่าซึ่งมันจะหาอาหารกินเอง หมาหรือสนัขควรกินอาหารของมนุษย์หรือไม่ ? ในอดีตสุนัขเป็นสัตว์ที่มี DNA แยกออกมาจากสุนัขป่าซึ่งมันจะหาอาหารกินเอง แต่ว่าในปัจจุบันสุนัขได้มีการพัฒนาให้อยู่ร่วมกับคนได้ และในอดีตที่คนนำสุนัขมาเลี้ยงก็จะให้อาหารมันโดยเป็นอาหารที่เหลือจากเรากินหรืออาจจะแบ่งไว้ ต่อมาในปี ค.ศ.1850 ก็มีผู้คิดค้นอาหารสุนัขซึ่งก็คือ เจมส์ สแปรทท์ (James Spratt) และเค้าเป็นผู้คิดค้นบิลกิตสำหรับสุนัขคนแรก ในเวลาต่อมาบิลกิตสำหรับสุนัขก็เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งในบิลกิตนั้นจะมีส่วนผสมของข้าวสาลี บีทรูท หรือผักต่างๆ รวมไปถึงเนื้อสัตว์ต่างๆ ที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของสุนัข แต่อย่างไรก็ตามก็มีหลายคนที่ยังไม่มั่นใจว่าอาหารสุนัขนั้นจะมีประโยชน์เพียงพอต่อสุนัข ฉะนั้นนักวิจัยจึงได้มีการวิจัยอาหารสุนัขและพบว่าอาหารสุนัขนั้นมีข้อดีมากกว่าอาหารที่เราให้สุนัขกินเสียอีกไม่ว่าจะด้วยเรื่องของสารอาหารที่ครบถ้วนและปลอดภัยต่อร่างกายสุนัข อาหารสุนัขที่ถูกคิดค้นออกมานั้นมีหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของอาหารเม็ด รูปแบบเปียก และหลากหลายรสชาติมีทั้ง เนื้อไก่ เนื้อวัว ตับ เป็นต้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าอาหารของคนนั้นสุนัขจะไม่สามารถกินได้ อาหารของคนเราสุนัขก็สามารถกินได้เช่นกันแต่ต้องระวังในเรื่องของโภชนการตามที่ร่างกายของสุนัขสามารถรับได้เพียงพอ ไม่น้อยหรือมากจนเกินไป รสชาติก็เช่นกัน

2024-01-19T07:15:00+07:00December 14th, 2020|knowledge|

คุณรู้หรือไม่ น้ำขิงมีประโยชน์อย่างไร

Did You Know คุณรู้หรือไม่ น้ำขิงมีประโยชน์อย่างไร ขิง เป็นสมุนไพรไทยชนิดหนึ่งที่หลายคนรู้จักกันดี และคนส่วนใหญ่จะนิยมนำขิงมาประกอบอาหารหรือทำเป็นเครื่องดื่ม ซึ่งเครื่องดื่มที่นิยมกันก็คือ น้ำขิง ซึ่งขิงนั้นก็มีประโยชน์ทางการแพทย์มากมายไม่ว่าจะช่วยบรรเทาอารคลื่นไส้อาเจียนจากอาการเมารถ เมาเรือ เพราะว่าในน้ำขิงนั้นมีสารอยู่ 2 ชนิดที่ชื่อว่า สารจิงเจอรอล (6-gingerol) และสารโชกาออล (6-shogaol) ซึ่งสารทั้ง 2 ชนิดนี้มีฤทธิ์ต่อสมองในส่วนการควบคุมอาการอาเจีย และน้ำขิงเมื่อดื่มเข้าไปมันจะไปช่วยกระตุ้นการบิดตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้อ่อนทำให้ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยอาหาร การดูดซึมอาหาร ลดอาการท้องอึด ช่วยขับลมได้ ไม่เพียงเท่านี้การดื่มน้ำขิงสำหรับบ้างคนอาจจะเป็นการเพิ่มความอยากอาหารได้อีกด้วย สรรพคุณของน้ำขิงยังไม่หมดเพียงเท่านี้มันยังช่วยบรรเทาอาการปวดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ไมเกรน ปวดท้องประจำเดือน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าในน้ำขิงมีสาร พรอสตาแกลนดิน (Prostaglandin) ซึ่งเป็นสารสารฮอร์โมนที่ช่วยระงับความเจ็บปวดได้ และประโยชน์ของมันก็ยังไม่หมดเพียงเท่านี้น้ำขิงยังช่วย การแก้อาการแน่นโพรงไซนัส บรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ช่วยขับเหงื่อ ช่วยในการลดคอเลสเตอรอล ลดอาการบวมและปวดของผู้ป่วยข้ออักเสบรูมาตอนด์ ซึ่งวิธีการทำน้ำขิงก็ง่ายๆ โดยมีวิธีดังนั้น ขั้นตอนแรกให้นำขิงมาล้างให้สะอาดจากนั้นก็หั่นเป็นแว่นๆ หรือจะทุบก็ได้ จากนั้นก็นำไปต้มให้เดือดเมื่อน้ำเดือดแล้วก็ต้มต่ออีก 10-15 นาทีโดยใช้ไฟอ่อน และเมื่อครบแล้วก็นำน้ำขิงไปแยกออกจากกัน หรือใครที่ชอบหวานก็อาจจะใส่น้ำผึ้งหรือน้ำตาลลงไปเพื่อเพิ่มความหวานได้ เพียงเท่านี้ก็ได้น้ำขิงมาดื่มกัน ถึงแม้ว่าน้ำขิงจะมีประโยชน์มากแต่สำหรับผู้ป่วยบางอย่างก็ห้ามดื่มเช่น ผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร ผู้ที่เป็นเบาหวาน

2024-01-19T07:15:00+07:00December 14th, 2020|knowledge|

คุณรู้หรือไม่ ทำไมอ่านหนังสือแล้วจึงง่วงนอน

Did You Know คุณรู้หรือ ไม่ทำไมอ่านหนังสือแล้วจึงง่วงนอน เมื่ออ่านหนังสือแล้วเกิดอาการง่วงนอน เชื่อกันว่าปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่ของใครหลายคน แล้วสาเหตุเกิดจากอะไร? เมื่ออ่านหนังสือแล้วเกิดอาการง่วงนอน เชื่อกันว่าปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่ของใครหลายคน แล้วสาเหตุเกิดจากอะไร? ผู้เชี่ยวชาญมีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วแสดงให้เห็นว่า ดวงตาของเราจะเคลื่อนไหวไปมาในขณะที่กำลังอ่านหนังสือ และใรขณะเดียวกันนั้นสมองก็ต้องทำงานไปด้วยโดยการแปลตัวอักษรตามที่เรามองเห็นและแปลความหายออกมา ทำให้กล้ามเนื้อดวงตาทำงานหนักและนั้นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ร่างกายของเราส่งสัญญาณเตือนว่า ร่างกายควรได้รับการพักผ่อน ทำให้ตาของเราค่อยๆ ปิดลงและเข้าสู่สภาวะของการนอนหลับในที่สุด ทำไมอ่านหนังสือแล้วจึงง่วงนอน และยังมีปัจจัยอื่นร่วมด้วยไม่ว่าจะเป็นสถานที่ในการอ่านหนังสือที่สบายจนเกินไปเช่น เตียงนุ่มๆ โซฟา เป็นต้น หรืออ่านในที่ที่มีแสงสลัวหรือแสงไม่เพียงพอเพราะการอ่านหนังสือในที่ที่มีแสงไม่เพียงพอจะทำให้ดวงตาของเรานั้นทำงานหนักมา นอกจากนี้เรื่องของบรรยากาศโดยรอบของเราก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เราเผลอหลับขณะอ่านหนังสือได้ ฉะนั้นวิธีที่จะช่วยทำให้เราสามารถอ่านหนังสือให้นานขึ้นโดยเริ่มจากสถานที่ในการนั่งอ่าน เราควรเลือกสถานที่ที่ไม่สบายจนเกินไป และมีแสงเพียงพอต่อการอ่าน บรรยายกาศโดยรอบต้องไม่หนาวหรือร้อนจนเกินไป นอกจากนี้สำหรับใครต้องการอ่านหนังสือสอบก็ควรที่จะทำการจดบันทักไปด้วยเพื่อเป็นการกระตุ้นร่างกายอีกทางหนึ่ง เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถอ่านหนังสือได้นานขึ้น

2024-01-19T07:15:00+07:00December 14th, 2020|knowledge|

คุณรู้หรือไม่ เคี้ยวหมากฝรั่งช่วยอาการหูอื้ออย่างไร

คุณรู้หรือไม่ เคี้ยวหมากฝรั่งช่วยอาการหูอื้ออย่างไร ? อาการหูอื้อนั้นมีสาเหตุมาการการเปลี่ยนแปลงของความดันอากาศอย่างกระทันหันซึ่งจะทำให้ความดันภายในเยื่อแก้วหูนั้นไม่เท่ากับความดันอากาศ คุณรู้หรือไม่ เคี้ยวหมากฝรั่งช่วยอาการหูอื้ออย่างไร ? อาการหูอื้อนั้นมีสาเหตุมาการการเปลี่ยนแปลงของความดันอากาศอย่างกระทันหันซึ่งจะทำให้ความดันภายในเยื่อแก้วหูนั้นไม่เท่ากับความดันอากาศ เนื่องจากปกติแล้วความดันภายในเยื่อแก้วหูและความดันอากาศภายนอกนั้นจะมีความดันเท่ากัน ดังนั้นในหูชั้นกลางที่มีท่อที่ชื่อว่า Eustachaian tube ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมระหว่างหูชั้นกลางและโพรงหลังจมูก โดยจะปรับความดันในหูชั้นกลางให้เท่ากับบรรยากาศภายนอก เมื่อความดันที่อยู่ภายในหูของคนเราสูงกว่าความดันอากาศภายนอก เนื่องจากความดันในหูที่สูงกว่านั้นจึงทำให้ความดันอากาศที่อยู่ภายในหูพยายามดันออกมา และนี้คือสาเหตุที่ทำให้หูอื้อไปชั่วขณะ แต่อาการหูอื้อนั้นจะสามารถกลับไปเป็นปกติได้อีกครั้งก็ต่อเมื่อท่อ Eustachaian tube ถูกเปิดออก ซึ่งมาหลายวิธีรวมไปถึงการเคี้ยวหมากฝรั่ง การเคี้ยวหมากฝรั่งนั้นจะช่วยในการกระตุ้นการผลิตน้ำลายและเมื่อมีน้ำลายในปริมาณหนึ่ง คนก็จะกลืนน้ำลาย ในขณะที่กลืนน้ำลายนั้นก็จะมีผลทำให้ท่อ Eustachaian tube เปิดออกนั้นเอง และหากอาการหูอื้อเกิดขึ้นบ่อย ควรพบแพทย์เพราะนั้นอาจจะไม่ใช่เพียงอาการหูอื้อปกติอาจจะเกิดมาจากอาการน้ำในหูไม่เท่ากันหรืออาจเกิดการติดเชื้อหรืออักเสบด้านในภายในหูได้เช่นกัน

2024-01-19T07:15:00+07:00December 14th, 2020|knowledge|

แป้งทาตัวทำมาจากอะไร มีอันตรายหรือไม่

คุณรู้หรือไม่ แป้งทาตัวทำมาจากอะไร มีอันตรายหรือไม่ ? แป้งทาตัวโดยทั่วไปนั้นทำมาจากแร่เถาว์ซึ่งเป็นแร่ที่แมกนีเซียมซิลิเกตเป็นส่วนประกอบหลัก คุณรู้หรือไม่ แป้งทาตัวทำมาจากอะไร มีอันตรายหรือไม่? แป้งทาตัวโดยทั่วไปนั้นทำมาจากแร่เถาว์ซึ่งเป็นแร่ที่แมกนีเซียมซิลิเกตเป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งแร่เถาว์เป็นหินที่อยู่ตามธรรมชาติ และส่วนประกอบต่างๆ ของแป้งก็จะมี การบูร เมนทอล น้ำมันและส่วนผสมชนิดอื่นที่ต่างกันไปตามชนิดและยี่ห้อของแป้ง แป้งนั้นมีคุณสมบัติช่วยดูดซับความชื้นทำให้รู้สึกแห้งสบาย กันน้ำและยังทำให้ผิวเนียนขึ้น ยังป้องกันผดผื่นจากการใส่ผ้าอ้อมเด็กหรือช่วยซับเหงื่อได้อีกด้วย แต่ว่าข้อเสียของแป้งนั้นก็คือ หากสูดดมแป้งเข้าในร่างกายไปนั้นจะทำให้ส่งผลเสียต่อระบบทางเดินหายใจ หรือคุณผู้หญิงนำมาใช้ทาในร่มผ้าเป็นเวลานานก็จะทำให้มีผลทำให้เกิดมะเร็งในช่องคลอดได้ เพราะแป้งทำมาจากแร่เถาว์ ซึ่งแร่เถาว์นั้นเป็นสารอนินทรีย์ที่ไม่สามารย่อยสลายด้วยจุลินทรีย์ในธรรมชาตินั้นเอง ดังนั้นการใช้แป้งฝุ่นก็ควรใช้ในปริมาณที่พอเหมาะพอควร และไม่ควรทำให้แป้งฝุ่นนั้นฝุ้งไปในอากาศเพราะอาจจะทำให้สูดดมเข้าไปไม่รู้ตัว ที่สำคัญหากต้องการที่จะทาแป้งบนตัวของเด็กเล็กก็ควรเทแป้งลงฝามือเสียก่อนจึงค่อยๆ ทาลงบนตัวเด็กเล็กเพื่อปกป้องไม่ให้แป้งฝุ้งกระจายนั้นเอง

2024-01-19T07:15:00+07:00December 14th, 2020|knowledge|

แก้โรคขี้ลืมด้วยวิตามินบำรุงสมอง

แก้โรคขี้ลืมด้วยวิตามินบำรุงสมอง โดย นพ. ตนุพล วิรุฬหการุญ ผู้อำนวยการศูนย์ Bangkok Royal Life Anti-Aging โรงพยาบาลกรุงเทพ ทำไมเราถึงมีอาการหลงๆลืมๆ เรื่องความจำเป็นปัญหาใหญ่เพราะมันเกี่ยวกับสมอง อาการหลงลืมแต่ละช่วงอายุแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม กลุ่มที่มีอายุมากก่วา50ปีขึ้นไปจะมีสาเหตุหลักๆอีกส่วนหนึ่ง อายุต่ำกว่า50ลงมาในวัยทำงานและวัยรุ่นก็มีอีกสาเหตุหนึ่ง คนวัยทำงานหรือวัยกลางคนส่วนใหญ่แล้วมักเกิดจากการที่เราใช้ชีวิตหนักและเหนื่อยเกินไป เช่น การนอนและพักผ่อนไม่เพียงพอซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของคนวัยนี้เพราะจะทำให้สมองพักได้น้อย ความจำก็จะเริ่มทดถอยลงเรื่อยๆ และกลุ่มคนที่กินเหล้า สูบบุหรี่ กินคาเฟอีนเย่อะๆจะทำให้วิตามินบีในร่างกายน้อยลง ปลายประสาทก็เสื่อมเร็วขึ้น คนที่สูบบุหรี่ยิ่งไปกระตุ้นให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ เร็วกว่าปรกติ มีอีกกลุ่มที่ไม่ใช่คนขี่ลืมแต่พูดแล้วก็ฟังแต่ไม่ใส่ใจ ต้องมาดูว่าสมาธิสั้นรึเปล่า ส่วนกลุ่มผู้สูงอายุหรือมีอายุตั้งแต่50ปีขึ้นไปมักจะเกิดด้วยธรรมชาติ โดยมีสาเหตุมาจากฮอร์โมนเพศที่หายไปหรือวัยทอง วัยทองเป็นภาวะที่หลากหลายเกิดขึ้นได้ในตัวเรา โดยเฉพราะโรคความจำสั้นที่หายไป ความจำสั้นหมายถึงเรื่องเล็กๆน้อยๆในปัจจุบันเช่น ลืมปิดบ้าน เปิดน้ำทิ้งไว้เป็นต้น แต่กลับจำเรื่องในอดีตได้ นี้คืออาการที่ฮอร์โมนในร่างกายหลายตัวเริ่มลดลง จะทำให้ความจำแย่ลงเรื่อยๆ อาการหลงลืมแบ่งออกเป็น2แบบ คือโรคอัลไซเมอร์ และโรคความจำเสื่อม หลักการสังเกตุโรคความจำเสื่อมคือ ลืมสักพักหนึ่งก็กลับมาจำได้ อัลไซเมอร์ คือลืมแล้วลืมเลย วิตามินจึงเป็นตัวช่วยเสริมสมองหรือบำรุงสมองอีกทางเลือกหนึ่ง เพราะในอาหารส่วนใหญ่มีสารอาหารที่ไปบำรุงสมองโดยตรงนั้นน้อยมาก การสร้างสมดุลย์ชีวิตหรือทำอะไรแต่พอดี ไม่ทำงานหนัก พักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารบำรุงสมองและไม่เครียด ก็จะช่วยให้เรามีความจำดีๆตลอดไป

2024-01-19T07:15:00+07:00December 14th, 2020|knowledge|
Go to Top