แม้ว่าในเวลานี้ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ส่วนมากกำลังให้ความสนใจกับสื่อจัดเก็บข้อมูลบนมาตรฐานใหม่ที่เรียกกันว่า SSD หรือ Solid State Drive แต่ทว่าฮาร์ดดิสก์ก็จะยังคงไม่หายไปไหนเพียงแต่มันจะถูกลดบทบาทลงไปเล็กน้อย จากเดิมที่มันจะเป็นสื่อหลักสำหรับใช้ทั้งจัดเก็บข้อมูลรวมทั้งบู๊ต OS แต่ยุคนี้ SSD มีราคาที่เริ่มจับต้องได้มากขึ้น สื่อหลักสำหรับใช้ในการบู๊ต OS หรือ Windows โดยมากก็จะเลือกใช้งาน SSD แทน HDD โดยตัว HDD จะกลายเป็นแหล่งจัดเก็บ เพราะด้วยที่มันมีขนาดความจุต่อราคาที่คุ้มค่าหรือถูกกว่า SSD อยู่มากนั่นเอง

สิ่งที่เราจะนำมาฝากกันในวันนี้ก็เป็นเรื่องราวของการแบ่งประเภทหรือแบ่งรุ่นของ HDD จากทาง Western Digital ที่เราพอจะทราบกันอยู่แล้วว่าทาง WD นั้นจะเลือกใช้สีที่มีความแตกต่างกัน เพื่อเป็นการบ่งบอกถึงความแตกต่างของ HDD ในตระกูลนั้นๆว่ามันแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งผมก็ไปเห็นข้อมูลที่น่าสนใจจากทาง extremepc.in.th ที่ได้มีการบอกเล่าถึงข้อมูลในส่วนดังกล่าวนี้ ก็เลยขอนำมาขยายความบอกเล่ากันต่อ เพราะเชื่อว่าน่าจะยังมีหลายต่อหลายท่านที่อาจจะยังสับสนและยังไม่ทราบว่า จริงๆแล้ว WD HDD แต่ละสีนั้นมันมีความหมายว่าอย่างไร และแต่ละสีมีความเหมาะสมกับใครอย่างไร เหมาะงานอะไร จากทั้งหมดที่ทาง WD ได้มีการแบ่งโทนสีของ HDD ออกเป็น 5 สีคือ

WD Blue – สีน้ำเงิน
WD Black – สีดำ
WD Red – สีแดง
WD Purple – สีม่วง
WD Datacenter (Gold) – สีทอง
เมื่อได้ทราบกันไปแล้วว่า HDD จากทาง WD ในเวลานี้จะมีสีอะไรให้เราได้เลือกใช้งานกันบ้างในท้องตลาด ดังนั้นเราก็มาว่ากันต่อในรายละเอียดของความแตกต่างจากแต่ละสีว่ามันเหมาะสมกับการใช้งานอย่างไร ใช่สำหรับใครบ้าง

WD Blue – สีน้ำเงิน : ออกแบบมาสำหรับการใช้งานร่วมกับ PC ทั่วไปตามบ้านเรือนหรือสำนักงาน เน้นไปในเรื่องของความคุ้มค่าทั้งในส่วนของประสิทธิภาพและความจุต่อราคา ที่ไม่ได้มุ่งเน้นความแรงในแบบที่ว่าต้อง “เป็นที่สุด” โดยมันจะมีให้เลือกใช้งานสองรหัสด้วยกันคือ WD Blue และ WD Blue SSHD โดยในความแตกต่างนั้น ในแบบที่ไม่มีรหัส SSHD ต่อท้ายก็จะเป็น HDD (Hard Disk Drive) ในแบบปรกติมีจานแม่เหล็กทำงานที่ความเร็ว 7200rpm มี buffer cache ในขนาด 64MB และมีความจุเริ่มต้นตั้งแต่ 250GB จนถึง 6TB ส่วนในโมเดลที่เป็น SSHD มันก็จะเป็นการผสมผสานกันระหว่าง HDD+SSD หรือที่เราเรียกกันว่าในแบบ Hybrid ซึ่งมันจะมี NAND Flash ในขนาด 8GB สำหรับทำตัวเป็น Cache เพื่อช่วยเพิ่มความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลที่มีการเรียกใช้งานบ่อยๆให้เรียกหาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

WD Black – สีดำ : ที่สุดของคำว่าประสิทธิภาพ ! ซึ่งหากใครที่กำลังมองหา HDD ที่ต้องการคำว่าแรงไว้ก่อน ประสิทธิภาพสูงสุดเข้าว่า WD Black คือคำตอบ ซึ่งออกแบบมาเพื่อตอบสนองต่อการใช้งานในช่วงที่กว้างกว่า WD Blue คือมันสามารถใช้ได้กับ PC ทั่วๆไปเหมือนกับ WD Blue หรือสำหรับกลุ่มผู้ทำงานในด้านมัลติมีเดียต่างๆ จะตัดต่อวิดีโอ ตกแต่งภาพ ทำงานกราฟิกหรือแม้กระทั่งบรรดาคอเกมทั้งหลายที่ต้องการความรวดเร็วในการตอบสนอง เพราะมันจะมีแคชในขนาดที่ใหญ่เป็นพิเศษตั้งแต่ 64MB ไปจนถึง 128MB (แตกต่างกันไปตามความจุ)และไม่เพียงแค่เรื่องของความแรงเท่านั้น มันยังจะมาพร้อมกับเทคโนโลยี StableTrac ที่จะช่วยเพิ่มความมีเสถียรภาพในการทำงานให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย ซึ่งทาง Western Digital ก็กล้าที่จะรับประกัน WD Black ยาวนานถึง 5 ปีเต็ม

WD Red – สีแดง : หากกำลังมองหาทางเลือกสำหรับใช้งานร่วมกับ Nas สีแดงคือคำตอบจากทาง Western Digital โดย WD Red ได้รับการออกแบบสำหรับใช้งานร่วมกับ Nas หรืออุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลผ่านเครือข่ายโดยเฉพาะ แต่ไม่ถึงกับศุนย์จัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่อย่าง Data centers มันเหมาะเพียงแค่ในระดับ SOHO (Small Office/Home Office) ที่จัดเก็บข้อมูลผ่านเครือข่ายเข้าสู่ Nas จะทั้งในบ้านเรือนทั่วไปหรือตามสำนักงานขนาดเล็ก ทั้งนี้มันก็ยังจะถูกแบ่งออกเป็นสองซีรย์ด้วยกันคือ WD Red และ WD Red Pro โดยความแตกต่างระหว่าง Pro และไม่ Pro ก็คือ ในซีรีย์ปรกติจะเหมาะสำหรับการใช้งานที่ไม่ได้หนักหน่วงมากนัก เหมาะกับอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลในเครือข่าย(Nas)ในช่วง 1-8 Bay ส่วนในซีรีย์ Pro ก็เน้นสำหรับผู้ที่มีการใช้งานหนัก มีการเข้าถึงข้อมูลตลอดเวลา เหมาะสำหรับองค์กรขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่หรือสำหรับสื่อจัดเก็บข้อมูลบนเครือข่ายในระดับ 16 bay ขึ้นไป

WD Purple – สีม่วง : ออกแบบมาสำหรับงานในด้านรักษาความปลอดภัยสำหรับใช้งานร่วมกับระบบกล้องวงจรปิดโดยเฉพาะ ซึ่งมาพร้อมกับเทคโนโลยี AllFrame ที่มันจะช่วยลดความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับตัวข้อมูลวิดีโอ ทั้งนี้มันยังได้รับการออกแบบให้สามารถทำงานในสภาพแวดล้อมที่ที่มีอุณหภูมิสูงกว่าปรกติอีกด้วย และสำหรับ WD Purple ก็จะมีให้เลือกใช้งานสองซีรีย์เช่นกันคือ WD Purple ที่มีความจุให้เลือกตั้งแต่ 1TB ถึง 6TB เหมาะสำหรับการใช้งานร่วมกับกล้องวงจรปิดในจำนวนไม่เกิน 32 ตัว และในอีกซีรีย์ก็คือ WD Purple NV ที่ออกแบบมาสำหรับการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ประเภท Network video recorder (NVR) สามารถรองรับการใช้งานร่วมกับกล้องได้ในจำนวนที่มากกว่าซีรีย์ปรกติถึงเท่าตัวหรือ 64 ตัวนั่นเอง และมีขนาดให้เลือกตั้งแต่ 4TB ถึง 6TB โดยมีระยะเวลาการรับประกัน 3 ปีเต็ม

WD Datacenter (Gold) – สีทอง :  สำหรับในโมเดลฉลากสีทองนั้น ชื่อจริงๆของมันจะเป็น WD Datacenter ซึ่งมันจะได้รับการออกแบบมาพิเศษเพื่องานจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่อย่าง Datacenters โดยเฉพาะตามชื่อเรียกของมัน หรือใช้งานร่วมกับระบบกล้องวงจรปิดขนาดใหญ่ที่มีจำนวนกล้องมากๆ เหมาะสำหรับระบบจัดเก็บข้อมูลที่มีการใช้งานหรือมีการเข้าถึงข้อมูลอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาในแบบ 24/7 และต้องการความมีเสถียรภาพสูงสุดในการทำงาน และในโมเดลฉลากสีทองนี้ก็จะรับประกันยาวนาน 5 ปีเต็มอีกด้วย

ได้ทราบกันไปแล้วนะครับว่า HDD (Hard Disk Drive) จากทาง Western Digital ที่ได้มีการแบ่งแยกสีสันแตกต่างกันออกไปมากถึง 5 สีนั้นมันมีความแตกต่างอย่างไรกันบ้าง เหมาะกับการใช้งานในด้านใดบ้าง คราวนี้ใครที่อาจจะเคยสับสนนั้นคงจะทราบแล้วว่า สีไหน รุ่นไหนเหมาะสำหรับการใช้งานของเรา และหากใครที่มีข้อสงสัยว่า WD Green นั้นหายไปไหน ? ก็แจ้งให้ทราบกันตรงนี้อีกครั้งว่าทาง Western Digital ได้ทำการยกเลิกสายพานการผลิต WD Green ไปแล้วในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากเห็นว่ามันทับซ้อนอยู่กับตลาดของ WD Blue นั่นเอง และจากข้อมูลทั้งหมดที่เราได้รับทราบกันไปนั้น หากจะให้สรุปกันแบบสั้นๆในคำถามที่มักจะพบเจออยู่บ่อยครั้งคือ Blue กับ Black เลือกตัวไหนดี ? คำตอบที่จะให้ไปก็คงตอบแบบง่ายๆเช่นกันว่า ถ้าต้องการเน้นเร็ว แรง ในแบบฉบับของ HDD เน้นเล่นเกมหรือโหลดข้อมูลขนาดใหญ่บ่อยครั้ง คำตอบที่ได้ก็คือจัด Black ไปเลยครับ แต่หากว่าไม่ได้ใช้งานหนักหน่วงอะไรเพียงแค่ดูหนังฟังเพลงเล่นเนตหรือใช้ทำงานเบาๆด้านออฟฟิตต่างๆก็เลือก Blue ซึ่งมันก็เพียงพอต่อการใช้งาน ไม่จำเป็นจะต้องจ่ายแพงกว่าโดยเปล่าประโยชน์